Monday, November 22, 2010

คิดแบบวิเคราะห์(Analysis)มองแบบองค์รวม(Holistic)

คำว่า “บุญ” ผู้เขียนเชื่อว่าทุกคนอยากได้ เพราะบุญเป็นบ่อแห่งความสุข บุญก่อให้เกิดสุขทั้งกาย ทั้งใจ บุญทำให้หน้าตาผ่องใส จิตใจดีงาม เมื่อเราได้เห็นผู้คนได้ทรัพย์ก้อนโต ได้ยศ ได้ตำแหน่งสูงขึ้น เราก็มัก ได้ยินประโยคหนึ่งตามมาเสมอ คือ เขามีบุญมีวาสนาเขาจึงได้สิ่งนั้น
บุญในทางพุทธศาสนา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์โปรดสอนว่า บุญทำได้หลายทาง และบุญให้อานิสงส์ต่างกัน บุญอย่างที่หนึ่ง บุญที่เกิดจากการทำทาน แบ่งปันทรัพย์สิ่งของ ข้าวปลาอาหาร จุนเจือผู้ยากไร้ถวายแด่พระภิกษุสงฆ์ บุญจากการทำทาน อานิสงส์คือทำให้เรามีทรัพย์ใช้จ่ายในภพภาคหน้าหรือถ้ามองภพปัจจุบัน หากเรามีทรัพย์สมบัติมากแสดงถึงการได้ทำทานของเราในภพชาติที่ผ่านมา บุญอย่างที่สองบุญที่เกิดจาก การรักษาศีล โดยมีศีลห้าเป็นเบื้องต้น คือ เว้นจากการฆ่าสัตว์ เว้นจากการลักทรัพย์ เว้นจากการประพฤติผิดในกาม เว้นจากการพูดเท็จและเว้นจากการดื่มเครื่องดองของเมา อานิสงส์ของบุญที่เกิดจากการรักษาศีล ทำให้เรามีรูปร่างสง่างาม สมส่วน ผิวพรรณผ่องใสในภพภาคหน้า ภพปัจจุบันใครมีรูปเป็นทรัพย์แสดงถึงบุคคลนั้นเป็นผู้รักษาศีลมาดีแต่ภพชาติก่อน ๆ บุญอย่างที่สาม บุญจากการสวดมนต์ การทำสมาธิอย่างสม่ำเสมอ อานิสงส์บุญที่เกิดจากการทำสมาธิ ทำให้เป็นบุคคลมีปัญญาเป็นเลิศ ฉลาดแยบคายในภายภาคหน้า ถ้าภพนี้เป็นผู้ฉลาด อัจฉริยะ แสดงถึงการได้ฝึกสมาธิมาอย่างดีในภพชาติก่อน
สิ่งที่เขียนมาทั้งหมดอาจเป็นตัวอย่างให้เห็นชัดเจน โดยการเปรียบเทียบคำว่า “บุญ” เป็นการมองแบบองค์รวม (Holistic) ส่วนการทำทาน การรักษาศีล การสวดมนต์ทำสมาธิ เป็นการคิดแบบวิเคราะห์ (Analysis)
สรุปโดยรวมว่า ผู้นำ ผู้บริหาร ควรคิดแบบวิเคราะห์มองแบบองค์รวม

No comments: